30 April 2006

ตกค้าง Leiden and Keukenhof



เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ได้ไปเที่ยวเมือง Leiden และต่อด้วย
สวนที่สวยที่สุดในโลก(ความคิดเห็นสวนตัว)หลังจากที่เราเคยไป
Leiden มาเมื่อสองปีก่อน และ Keukenhof เมื่อสี่ปีก่อน




ครั้งนี้ที่ Leiden มีอะไรที่พิเศษกว่าครั้งที่แล้วคือ มีการโปรโมท
400 ปีของกวีดัง Rembrandt ที่เกิดเมื่อปี ค.ศ 1606 ที่เมืองนี้
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง ถนน ก็ล้วนใช่ชื่อของกวีเอกผู้นี้เป็น
เหมือนเอกลักษณ์ของเมือง



การเดินชมเมืองของเรา ก็ได้เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆที่เกี่ยวกับเรมบร้านท์
อย่างเช่น บริเวณที่เกิด ที่ที่เคยอาศัย และโรงเรียนภาษาลาตินที่เขาเคย
เรียนมาก่อนที่จะเดินทางไปอัมส์เตอร์ดัม


นอกจากเมืองนี้มีกวีท่านนี้เป็นเหมือนสัญญาลักษณ์ของเมือง ตัวเมือง
Leiden เองยังมีความสวยงามและความเก่าแก่ผสมอยู่ ถึงแม้ว่า
เมืองนี้จะเป็นเสมือนเมืองของการศึกษา ที่มีนักเรียนจากนานาประเทศ
มาร่ำเรียน ที่นี่ก็ยังคงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ให้ความสนใจเมือง
และที่สำคัญเป็นเหมือนสถานีเชื่อมต่อสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการ
ไปชมสวยชื่อก้องโลกอย่าง Keukenhof


เราใช้เวลาเดินอยู่ใน Leiden กว่า 3ชั่วโมง ก่อนออกเดินทางมุ่งสู่
Keukenhof ที่หางไปแค่ประมาณ 18 กม. พอมาถึงสวนนี้ ก็ต้อง
เป็นอันตกใจกับจำนวนของรถยนต์และรสบัสทัวร์ ที่จออยู่ทั่วบริเวณลาน
จอดรถ สวนนี้เปิดให้บริการตั้งแต่มีนาคม แต่ช่วงที่จะได้เห็นความสวยงาม
ของสวนคงเป็นช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเดินเมษายนจนสวนปิด เพราะหาก
มาเร็วไป ดอกไม้จำนวนมากจะยังไม่แย้มบาน ยิ่งปีนี้อากาศหนาวนาน



ความแตกต่างจากเมื่อสี่ปีก่อนที่เราเคยไป คือ คราวนี้ต้นไม่ใหญ่จำนวน
มากเพิ่งจะเริ่มแตกใบยังไม่เห็นความเขียวขจีผิดกลับเมื่อสี่ปีก่อนทั้งๆที่
เป็นช่วงเดียวกันเป๊ะ แต่เรื่องของดอกไม้แล้ว ก็บานสะพรั่ง หอมอบอวน
ไปทั่วสวนเลย แม้คนจะเยอะมากแต่ก็ยังคงมีมุมให้ทุกคนได้ถ่ายรูป
เก็บเอาสีสรรค์ของธรรมชาติไว้เป็นที่ละลึก



ครั้งนี่ที่สวนมีการจัดให้ดอกไม้ขึ้นเป็นรูปใบหน้าของ กวี เรมบร้านท์ ด้วย
ที่นี่ก็ให้ความสำคัญกับกวีเอกท่านนี้มาก เพราะชื่อเสียงของเขานั้นทำให้
ชาวโลกรู้จักประเทศเนเธอร์แลนด์มากยิ่งขึ้น


คงอีกนานกว่าเราจะกลับไปที่สวนนี้ใหม่ ยังงัยก็ตามสำหรับเรา ที่นี่ก็คือ
สวนที่สวยที่สุดในโลก

29 April 2006

Belgium - stop by Dinant


(ต่อ)

Dinant อยู่ระหว่างทางกลับ เราเลยตัดสินใจแวะเพราะ
เห็นในรูปดูแล้้วน่าสนใจ ประมาณ 40 นาทีเราก็มาถึง
ไม่คิดว่าจะเต็มไปด้วยผู้คนได้มากขนาดนีื้ เราหาที่จอดรถแล้ว
ก็เดินเรียบน้ำขึ้นไป รถแน่นไปหมดทั้งรถยนต์และมอร์เตอร์ไซด์
คงเป็นเพราะอากาศที่ดีประกอบกับบริเวณรอบเมืองเป็นเนินเขา
และมีวิวที่สวยงามทำให้คนเลือกที่จะออกมาชมบรรยากาศ


เราไม่มีเวลากันมากนักที่นี่ เพราะยังต้องขับรถกลับอีกไกล
จึงรีบไปหาอาหารกินกัน ก็ได้อาหารอิตาลี่ึ ไม่แพงมากแถม
อร่อยมากๆอีกด้วย จากนั้นก็นั้งเคเบิ้ลขึ้นไปชมปราสาทของ
เมืองที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ชมปราสาท ถ่ายรูปเมือง แล้วเราก็
ออกจากเมืองร่วม 6 โมง


อยากจะเก็บประวัติของเมืองมาเล่าเหมือนกัน แต่เวลาเยืือนเมือง
แค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็เลยไม่ได้เก็บเกี่ยวเอาความรู้สึกที่มีต่อเมืองมา
มากนัก แต่ก็ดีใจที่ได้แวะมาเยือน


อ้อ เมืองนี้เป็นเมืองแห่งต้นกำเนิิดของ แซ็คโซโฟน



-จบ-

Belgium - goodbye Bouillon


(ต่อ)

เราก็กลับมาถึงโรงแรมสิบห้านาทีก่อน หกโมง มีเวลาน้อยนิด
ก็ได้อาบน้ำอาบท่าก่อนลงไปหาอะไรกิน จริงๆแล้วก็ตกลงใจว่าจะ
กินหอยแมลงภู่นึ่ง เห็นมีอยู่หลายร้านเลย ถัดจากเบียร์ ช็อคโกแลด
ก็มีหอยแมลงภู่เนี่ยที่ขึ้นชื่อ ในเบลเยี่ยม หากใครเคยไปบรัสเซล
ก็อาจเห็นร้านอาหารขายหอยแมลงภู่ตั้งอยู่กลาดเกลี่อน เราเองก็
ชอบกินมากๆเสียด้วย พอจบของคาวก็ตบท้ายด้วยของหวาน ทำเอา
แน่นเหมือนกัน เห็นคนขายหอยบอกว่าที่เมืองเล็กๆนี้มีร้านอาหารไทย
ด้วย ก็ไม่คิดเหมือนกัน ไม่งั้นอาจจะลองไปอุดหนุน


ค่ำคืนที่นี่เงียบสงัดเลว คงเป็นเพราะเป็นเพียงเมืองเล็กๆท่ามกลางหุบเขา
และยังไม่ถึงฤดูท่องเที่ยว จึงทำให้คืนวันเสาร์ไม่มีอะไรนอกจาก แสงจาก
อาคาร กับถนนที่ว่างเปล่า ทอดยาวรอวันที่จะมีผู้คนมาแวะเวียน


เช้าวันอาทิตย์มีหมอกปกคลุมเมือง แป็ปเดียวก็ไปร่งสดใส ก่อนออก
จากเมืองเราแวะเข้าชมปราสาท Bouillon ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาล้อม
ด้วยแม่น้ำ สร้างตามยุทธศาสตร์การรบ บนปราสาทก็สามารถมองเห็น
วิวของเมืองได้ชัดเจน ให้ความรู้สึกถึงทหารที่เข้าเวรยามดูแลเมืองใน
อดีต โชคดีที่พอดีมีการแสดงโชว์นก เช่น นกฮูก เหยี่ยว และ อีแร้ง ที่
ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ดูแล้วก็ไม่อยากเชื่อว่านกที่มีขนาดใหญ่
จะยอมรับการฝึกฝนจากมนุษย์อย่างเราๆ


หลังจากนั้นเราก็ตัดสินใจลา Bouillon นี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้ง
เดียวที่เรามาที่เมืองนี้ื ไม่เสียใจ แม้จะมีขี้หมาบ้างตามริมทางเดินก็ตาม
แต่มนต์เสน่ห์ของเมืองนี้ก็จะยังคงอบอวน และไม่มีวันเลือนลาง

Bye Bouillon

(มีต่อ)

Belgium - visit Orval


(ต่อ)

หลังจากที่เดินสำรวจเมือง Bouillon และนั่งพักดื่ม เราก็ต้องบึ่งรถกันไปต่อที่
โรงเบียร์ Orval อยู่ที่เมือง Villers-devant-Orval ประมาณ 35 กม
จาก Bouillon ที่นี่เป็นโรงเบียร์เก่าแก่ที่ริเริ่มโดยนักบวช สำหรับที่เบลเยี่ยมนี่
ไม่แปลกเพราะเบียร์ส่วนมากที่นี่มักจะมาจาก Abbey ที่นักบวชอยู่แต่ของ Orval
นี้โรงเบียร์ได้ปรับเปลื่ยนให้ทันสมัยและกลายเป็นธุรกิจที่สำคัญของพระ ปีนี้เราโชค
ดีที่มีโอกาสได้มาเยี่ยมชม ถึงแม้เราจะไม่ค่อยใส่ใจนักกับขั้นตอนการผลิตเบียร์
แต่ก็เป็นคนที่ชอบกิินเบียร์คนนึง แต่ก่อนไม่เคยรู้เลยว่าเบลเยี่ยมเป็นประเทศของ
เบียร์ พอได้มาที่นี่ก็ถึงกับอึ้งที่ประเทศเล็กๆอย่างเบลเยี่ยมกลับมีเบียร์เป็นร้อยๆยี่ห้อ
แถมหลากหลายรสชาดและที่สำคัญ ความเข้มของแอลกอฮอล์ก็ต่างกัน แม้่กระทั้ง
เบียร์ยี่ห้อเดียวกัน ก็ให้รสชาดต่างกันขึ้นอยู่กับวันผลิต หากเก็บบ่่มไว้นาน ก็จะ
ให้รสชาดอีกแบบนึงได้


กลับมาที่เบียร์โอร์วาล หลังจากที่ชมโรงงาน ก็แน่นอนว่าต้องได้ชิมเบียร์ฟรี เพราะ
เป็นปรกติของทุกโรงเบียร์ เราเคยไปดูงานที่โรงเบียร์ไฮนีเก้นที่นนทบุรี ก็ได้กินเบียร์
ฟรีเหมือนกัน โอวาลก็เป็นเบียร์สีเข้ม (dark beer) รสชาดก็เข้าข้นกว่าเบียร์
ที่เมืองไทย ยิ่งได้กินกับชีสที่เขาเสริฟฟรี ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่ สุดท้ายก็ยกเบียร์
กลับมาลัง พร้อมชีสอีกโลนึง


นอกจากการได้เข้าชมโรงเบียร์ซึ่งอยู่ในพื่นที่ของวัด(ขอเรียกเป็นวัดดีกว่า)
เราก็แวะเขาไปชมส่วนของวัด พี่นที่ล่องรอยเก่า ซากปรักหักพักที่ถูกเผาทำลาย
ไปในช่วง French revolution มองแทบไม่เห็น ถึงความเป็นมาของอดีต
แต่ก็สามารถรู้สึงถึงความเก่าแก่ กลิ่นไอของอดีตที่ยังคงอบอวนไปทั่วขอบเขต


เดินบนรอบบริเวณนี้ก็เล่นเอาขาแข้งเมื่อยเหมือนกัน เบ็ดเสร็จก็ร่วมเกือบ 5 โมง
เย็น แล้วก็ขับรถกลับไป Bouillon

(มีต่อ)

26 April 2006

Belgium - trip to Bouillon



ก็มาต่อที่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ ตูดยังไม่ทันหายเมื่อยจากการนั่งรถ
เราวางแผนกันไปทางใต้ของเบลเยี่ยม เป็นย่านที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส เมื่อสามปีก่อนก็
เคยไปมา แต่ไม่ได้ใต้ขนาดครั้งนี้ ชอบย่านที่ของเบลเยี่ยม เขาเรียกว่า อาร์เดน
เป็นเขตที่มีเมืองน้อยใหญ่สลับเรียงรายอยู่ระหว่างหุบเขา
จริงๆแล้วจุดมุ่งหมายของทิปนี้อยู่ที่การเยี่ยมชมโรงงายเบียร์ Orval หนึ่งในกว่า
ร้อยชนิดของเบียร์ของเบลเยี่ยม แต่เนื่องจากระยะทางที่ไกลจากเราจริงต้องหาที่พัก
แรม และเราก็พบเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ Bouillon เกือบไม่ได้ห้องพักแล้ว เพราะเล่น
จองเอาแบบ มะลืนจะไปเพิ่งจอง ก็ยังโชคดีที่ยังไม่ถึงฤดูกาลท่องเที่ยว แต่กระนั้น
ทุกอย่างก็เืกือบเต็มเพราะอากาศสุดสัปดาห์ที่ผ่านนั้นดีมาก อากาศขึ้นไปถึงเกือบ
20 องศา แถมเมืองก็เล็กจิ๋วเดียว



เราออกเดินทางจาก Utrecht แต่เช้ามึด ไปรับเกลอตอนหกโมงครึ่ง จากนั้นก็
ฝอยกันตลอดทาง แวะปั้มแป็ป ไปกินอาหารเช้า แล้วฉี่ จากนั้นก็ฝอยกันต่อ
ที่แรกกะจะไปโรงเบียร์ก่อนแล้วค่อยมาเช็คอินที่โรงแรม แต่เนื่องจากเรามีเวลาพอ
จริงเข้ามาที่เมือง Bouillon ก่อน ที่เมืองนี้อยู่ท่ามกลางภูเขาจริงๆ ต้องขับรถ
ค่อมเขาเพื่อเข้าเมือง พอเหลือบเห็นวิวเมืองหน่อยก็อิ่มใจกับความสวยงามของเมือง



จริงๆแล้วเมืองทางใต้ของเบลเยี่ยมนี้ ไล่จนไปทางใต้ของเยรมัน มีลักษณะรูปแบบ
เมืองที่สร้างอยู่ริมแม้น้ำคล้ายๆกัน ดูแล้วชื่นตา ทำให้นึกถึงนิทานที่ชอบอ่านตอน
เด็กๆเสมอ รูปแบบบ้านที่สร้างด้วยอิฐเพื่อป้องกันความหนาวเย็น ยามหิมะปกคลุม
Bouillon มาจาก ดยุค Godefroy la Bouillon ที่ดูแลเมืองนี้และที่
สำคัญเป็นคนนำทับเพื่อทำสงครามครูเซทครั้งแรก ซึ่งเป็นสงครามศาสนา ที่เมือง
เจรูซาเลม หากชอบประวัติศาสตร์ก็ไปหาอ่านเอานะ ขี้เกียจเขียนยาวเพราะมีเรื่อง
เยอะแล้วที่ต้องเล่า


โรงแรมที่เราพักตั้งอยู่บนเนินเขาอีกฝากตรงข้างปราสาทของเมือง ถือเป็นโรงแรม
ที่ดีที่สุดของเมืองก็ว่าได้ แต่ข้อเสียคือหากต้องเดินลงไปตัวเมืองด้านล่างและเดิน
กลับขึ้นมา คงเมืื่อยแย่่เราเลยเลือกที่จะใช้รถยนต์ดีกว่า




ยังเช็คอินกันไม่ได้เพราะยังหัววันอยู่ และเราก็ยังมีเวลาเหลือเลยเลือกที่จะไปชมตัว
เมืองด้านล่าง ก็ตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะห่างเหิินกับภูเขาเหล่ากามานานพอควร
ก็เจ้าฮอลแลนด์นี่ซิแบนราบเรียบไปหมดยกเว้นตอนใต้นิดหน่อย


(มีต่อ)

24 April 2006

สุดสัปดาห์ Belgium



เมื่อสองสุดสับดาห์ที่ผ่านมา ก็ไปแต่ที่เบลเยี่ยม เอาสุดสัปดาห์ก่อนโน่น
ก่อนละกัน พอดีต้องไปเบลเยี่ยม เนื่องจากเป็นวันเกิดญาติ จริงๆแล้วย่าน
นี้ก็ไปบ่อย ประมาณ 20 กว่าโลทางตะวันตกจากบรัสเซล ที่บ้านที่ไปนี้
ก็จะเป็นกิ่งฟาร์ม มีไก่ กระต่าย และ ม้า ก็ไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปกระต่ายมา
เพราะต้องเดินผ่านไก่ กลัวไก่ตื่นน่ะ



มาที่ไรก็เล่นกับหมาชื่อ ทีโบ ทุกที น่ารักดีอายุก็ 11 ปี แก่ละ เสียอย่าง
ขนร่วงเยอะมาก เป็นพันธ์แจ็ครัสเซล เราก็ชอบหมาแต่หากเลือกคงเอา
อย่างขนไม่ร่วง




ส่วนม้าก็ชื่อว่า บรอส เราก็กลัวๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะเคยเห็นภาพคนที่
โดนม้ากัดแล้ว แถมม้าพอดูใกล้ๆแล้วตัวใหญ่มากๆ



บ้านที่เบลเยี่ยมดูจะมีอิสระในการสร้างมากกว่าที่นี่ บางที่ก็ทำให้ดูไม่เบื่อหน่าย
การสร้างรูปแบบบ้านเหมือนกันทั้งเมืองก็อาจมีระเบียบ แต่ก็น่าเบื่อเหมือนกัน



เอาละ สุดสัปดาห์นี้จบละ ไว้จะมาเล่าสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทีหลัง